ทำความเข้าใจกฎหมายจราจรฉบับใหม่
กฎหมายจราจรฉบับใหม่ หรือ พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 13 พ.ศ.2565 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 และให้มีผลบังคับใช้ใน 120 วัน นับจากวันประกาศ ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ จะเน้นการเพิ่มโทษ ในข้อหาที่กระทบกับความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน และการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำ มีรายละเอียด ประกอบไปด้วย
1. เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ
• กระทำผิดครั้งแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
• หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษ เป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000 – 100,000 บาท และศาลจะลงโทษจำคุกและปรับ
• ในกรณีกระทำผิดครั้งแรก บทกำหนดโทษเท่าเดิมคือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000-20,000 บาท แต่กฎหมายเดิมไม่ได้กำหนดโทษกรณีกระทำผิดซ้ำ
2. เพิ่มอัตราโทษที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นปัจจัยเสี่ยง ในการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ใช้ทาง
• เพิ่มอัตราโทษปรับ
ขับรถเร็วเกินกำหนด ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (เดิม ปรับ 500-1,000 บาท)
ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (เดิม ปรับ 500-1,000 บาท)
ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (เดิม ปรับ 500-1,000 บาท)
ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
(เดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
จอดรถในที่ห้ามจอด ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (เดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
(เดิม ปรับ 400 บาท)
ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
(เดิม ปรับ 400 บาท)
• เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น
เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ (เดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 2,000 - 10,000 บาท)
3. กำหนดความผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทางเพิ่มเติมดังนี้
• เพิ่มความผิดฐานอื่นนอกเหนือจากการแข่งรถในทางให้มีบทกำหนดโทษ โดยอ้างอิงจากบทกำหนดโทษในความผิด “แข่งรถในทาง” ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000-10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
• ความผิดฐานพยายามแข่งรถ กำหนดเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ร่วมกลุ่มหรือมั่วสุมในทางหรือสาธารณสถานใกล้ทาง ด้วยรถตั้งแต่ 5 คันขึ้นไป ถือว่า “พยายามแข่งรถในทาง” หากมีเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
นัดหมายเพื่อแข่งรถกันมาก่อน หรือ
รถดัดแปลง /ปรับแต่ง มีสภาพไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือ
มีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดอันแสดงให้เห็นว่าจะทำการแข่งรถในทาง
มีโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง
• ผู้จัด ผู้โฆษณา ประกาศ ชักชวน ให้มีการแข่งรถ
มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 10,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 2,000-10,000 บาท)
• ร้านรับแต่งรถ เมื่อรถนั้นถูกนำไปใช้แข่งรถในทาง
ต้องรับโทษในฐานะผู้สนับสนุน มีโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง
4. กำหนดเรื่องการรัดเข็มขัดนิรภัย
• รถที่ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้ ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้
• รถกระบะ ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งตอนหน้า กรณีเป็นรถกระบะสองตอนผู้โดยสารตอนหลัง ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยด้วย
• การนั่งบริเวณแคป หรือนั่งท้ายกระบะ สามารถนั่งได้โดยไม่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย แต่ต้องนั่งไม่เกินจำนวนที่กำหนดในลักษณะที่ปลอดภัย และผู้ขับขี่ต้องขับขี่ด้วยความเร็วตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศกำหนด
* หากฝ่าฝืนไม่รัดเข็มขัดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
คาร์ซีทของเด็ก
สำหรับที่ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ยังไม่เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 5 กันยายน 2565 แต่จะบังคับใช้เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำประกาศและลงประกาศให้ประชาชนทราบในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
อย่างไรก็ตามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนนจะประชุมเพื่อกำหนดมาตรฐาน/ลดอัตราภาษีของที่นั่งนิรภัย รวมถึงวิธีป้องกันอันตรายในกรณีที่ไม่สามารถใช้ที่นั่งนิรภัยได้เพื่อจัดทำประกาศ เรื่อง การใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กให้แล้วเสร็จภายใน 4 ธันวาคม 2565
3 เดือนแรกยังใช้บทกำหนดโทษเดิม
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจราจรฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว แต่เพื่อทำความเข้าใจแก่ประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านในระยะเวลา 3 เดือนภายหลังจากมีการประกาศบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่นั้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยังใช้เกณฑ์ค่าปรับใบสั่งจราจรตามกฎหมายเดิมไปก่อน เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงในการใช้ พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 13 พ.ศ. 2565 นี้
ขับเร็ว-ฝ่าไฟแดง ส่งขึ้นศาลแทนออกใบสั่ง
นอกจากนี้ ครม.ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีจราจร พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีสาระสำคัญ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1
ความผิดจราจรบางฐานที่กำหนดไว้เฉพาะ เช่น ขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ ขับรถในระหว่างใบขับขี่ถูกพักใช้ เพิกถอน หรือหมดอายุไม่ปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร ขับรถด้วยความเร็วเกินกำหนด ร่าง พ.ร.บ.นี้ กำหนดห้ามไม่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบปรับหรือออกใบสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืน แต่ให้ผู้นั้นไปพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการออกใบนัดให้ผู้นั้นไปศาลต่อไป
กลุ่มที่ 2
ความผิดอื่นที่สามารถเปรียบเทียบปรับได้ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยทางหลวง และกฎหมายว่าด้วย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยไม่รวมถึงกรณีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ให้เปรียบเทียบปรับได้ แต่หากผู้กระทำผิดไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับหรือไม่ยอมจ่ายค่าปรับ ให้พนักงานสอบสวน
ดำเนินการออกใบนัดให้ผู้นั้นไปศาลต่อไป
กลุ่มที่ 3
ความผิดนอกจากกลุ่มที่ 1 และ 2 ที่มีความร้ายแรง เช่น ความผิดฐานเมาแล้วขับ กำหนดให้สอบสวนและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตาม ป.วิ.อาญา หรือกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงแล้วแต่กรณี โดยศาลอาจกำหนดมาตรการลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติม แก่ผู้กระทำความผิดได้
ทั้งนี้ คดีจราจรกลุ่มที่ 1 และ 2 ให้พนักงานสอบสวนส่งคู่ฉบับใบนัดให้ศาลภายใน 3 วันนับแต่วันที่ออกใบนัด แต่หากผู้ต้องหายอมชำระค่าปรับ ก็ให้คดีเป็นอันเลิกกัน และในวันที่มาศาล หากจำเลยรับสารภาพศาลพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยานก็ได้ แต่ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การหรือให้การปฏิเสธ ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าหลักฐานเพียงพอหรือไม่ ถ้าเพียงพอให้ศาลพิพากษาคดีทันที ถ้าไม่เพียงพอให้นัดสืบพยานต่อไป และศาลมีอำนาจใช้มาตรการลงโทษแก่จำเลยซึ่งมีความผิดนอกจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายเรื่องนั้นๆ ได้ เช่น ยึด พักใช้ หรือ เพิกถอน ใบอนุญาตขับขี่ ให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือ สาธารณประโยชน์ให้เข้ารับการศึกษาอบรมด้านการจราจร เป็นต้น
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวออกมาเพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัจจุบันสถิติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคดีจราจรในแต่ละปีมีจำนวนมาก สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจร ไม่เกรงกลัวต่อบทลงโทษของกฎหมาย ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรและผลกระทบถึงความปลอดภัยต่อชีวิตร่างกายและจิตใจของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลทั่วไป อีกทั้งมาตรการบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้ผู้กระทำผิดชำระค่าปรับตามกฎหมายน้อยมาก เนื่องจากกฎหมายให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบสั่งต่อผู้กระทำผิดกฎจราจรเพื่อลงโทษปรับตามกฎหมาย