กรมการขนส่งฯ จับมือภาคเอกชน ลงเสาเอกสร้างศูนย์การขนส่งและโลจิสติกส์ที่นครพนม

กรมการขนส่งฯ จับมือภาคเอกชน ลงเสาเอกสร้างศูนย์การขนส่งและโลจิสติกส์ที่นครพนม หวังดันเศรษฐกิจชายแดนคาดโตแบบก้าวกระโดด

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า วันนี้วันดีที่ทุกคนได้มาร่วมกันประกอบพิธียกเสาเอกเริ่มการก่อสร้างอาคารสำนักงานกลาง (Main office) ของโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม เป็นโครงการที่มีความสำคัญที่จะมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้จังหวัดนครพนมเป็น GATE WAY ประตูการค้าของประเทศไทย จากอีสานตอนบนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ลาว เวียดนาม และจีน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมคัดแยกสินค้าและกระจายสินค้าไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อลดการขนส่งเที่ยวเปล่าทั้งสินค้าที่นำเข้าและสินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศ และด้วยระยะทางที่จังหวัดนครพนมเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศมีระยะทางที่ใกล้มาก ถึงเวียดนามเพียง 170 กิโลเมตร และอีกประมาณ 700 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองหนานหนิง มณฑลกว่างซีของจีน ที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่มาก ทำให้ที่ผ่านมามีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสูงมาก และเชื่อว่าในปี 2566 จะมีมูลค่าทะลุแสนล้านบาทอย่างแน่นอน และต่อไปในอนาคตคงจะมีมูลค่าเป็นหลักหลายแสนล้านบาท ซึ่งสินค้าที่ผ่านเส้นทางนี้หลัก ๆ จะเป็นสินค้าทางการเกษตร และสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์

โดยโครงการนี้เป็นโครงการภายใต้แผนพระราชบัญญัติเอกชนร่วมลงทุน จะแล้วเสร็จในปี 2568 เป็นโครงการที่รัฐไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท เป็นเอกชนลงทุนโครงสร้าง 300 กว่าล้านในการสร้างคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงเครื่องมือยกขนต่าง ๆ ที่เหลือรัฐช่วยลงทุนให้ในเรื่องของการเวนคืนที่ดินจำนวน 121 ไร่ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเอกชนได้สิทธิ์ร่วมลงทุนสัมปทาน 30 ปี มีหน้าที่บริหารจัดการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์และการบำรุงรักษาโครงการตลอดระยะเวลาร่วมลงทุน ซึ่งจะต้องลงทุนในส่วนนี้เพิ่มอีกประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ทั้งยังต้องจ่ายผลตอบแทนคืนให้แก่รัฐประมาณ 300 ล้านบาทตลอดเวลาสัมปทาน ซึ่งเชื่อว่าศูนย์ตรงนี้จะเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าที่ทำให้มูลค้าทางเศรษฐกิจของจังหวัดนครพนมเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด อีกทั้งเป็นการเตรียมพร้อมรองรับเส้นทางรถไฟสายบ้านไผ่-นครพนม ที่จะมาถึงในปี 2570 และทำให้จังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นศูนย์กลางทางโลจิสติกส์อีสานตอนบนอย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นที่แล้วเสร็จจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ประมาณ 164,000 ตู้ และมีการวางเฟส 2 ที่เอกชนจะสร้างเพิ่มเติมอีกเมื่อปริมาณสินค้าเกิน 80 % หรือเมื่อมีระยะเวลา 15 ปีไปแล้วตามสัญญา

ด้านนายบวรสินธุ์ ตันธุวนิตย์ กรรมการบริษัท เอสเอซีแอล จำกัด (ผู้ร่วมลงทุน) กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยภูมิศาสตร์จังหวัดนครพนมที่อยู่ตรงกลาง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ว่าจะส่งสินค้าผ่านทางจังหวัดนครพนมไปยังไปเมืองจีนหรือผ่านทางแหลมฉบังเพราะระยะทางที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งศูนย์แห่งนี้คาดว่าจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการขนส่งจากนครพนมไปยังจีน สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด และเชื่อว่าต้นทุนในการขนส่งจะลดลงในอนาคตอย่างแน่นอนเพราะจะมีรถไฟรางคู่มาสนับสนุน นั้นหมายถึงผู้ส่งออกจะได้เปรียบในเรื่องต้นทุนที่ลดลง โดยที่สินค้าเกษตรยังคงมีความสดและใหม่ตลอดเวลา ส่วนสินค้าประเภทอื่น ๆ ที่จะผ่านทางเส้นทางนี้ก็จะมีการขนส่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จะส่งมาประกอบที่ไทย และกลุ่มสินค้าอีคอมเมิร์ซที่เป็นสินค้าออนไลน์ ต้องการให้ถึงมือผู้บริโภคโดยเร็วภายใน 2 – 3 วัน

ขณะที่นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวเสริมว่า เส้นทางการคมนาคมจังหวัดนครพนมถือว่ามีประสิทธิภาพที่ตอบรับระบบขนส่งโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างดีและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการส่งเสริมการลงทุนที่จังหวัดได้มีการเตรียมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษไว้ 1,300 ไร่ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน การทำสาธารณะประโยชน์ การสาธารณสุข โรงแรมที่พัก และกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ อีกทั้งในอนาคตที่จะมีรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่มาสิ้นสุดที่นครพนม จึงเชื่อว่าเมื่อศูนย์แห่งนี้เกิดขึ้นจะเป็นการเสริมศักยภาพของจังหวัดนครพนมให้เติบโตทางด้านเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด บนพื้นฐานของความมั่นคง และคาดว่าจะทำให้พี่น้องประชาชนในภาคอีสานตอนบน ได้รับผลประโยชน์ในอีกหลายด้านอย่างแน่นอน

ทีมข่าว สปชส.นครพนม

 

 


Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar